หน่วยงานสำคัญในการติดต่อธุรกิจ

พัฒนาการอุตสาหกรรมตัดเย็บของ สปป. ลาว

อุตสาหกรรมตัดเย็บเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่รัฐบาล สปป.ลาว ให้การส่งเสริมเพื่อลดการพึ่งพาและสร้างรายได้
จากทรัพยากรธรรมชาติไปสู่ การผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมเบา (Light Industry) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย
สร้างงาน ให้แก่ประชาชน ลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และสามารถสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศอีกด้วย

ในปี 2564 ภาคอุตสาหกรรม สปป. ลาวมีอัตราการขยายตัวคิดเป็นร้อยละ 34 ของ GDP (ขยายตัวลดลงร้อยละ 2.65 เมื่อเทียบ
กับปีที่ผ่านมา) โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและเครื่องหนัง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.10 ของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งหมด และอยู่ในอันดับที่ 7 รองจากอุตสาหกรรมพลังงาน ก่อสร้าง การแปรรูปอื่น ๆ เหมืองแร่และการขุดค้น การแปรรูปอาหาร
และเครื่องดื่มและบุหรี่ ตามลำดับ

สปป. ลาวก่อตั้งโรงงานตัดเย็บเครื่องนุ่งห่มแห่งแรกในปี 2527 ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 77 แห่ง ตั้งอยู่ใน นครหลวงเวียงจันทน์ 72 แห่ง
แขวงเวียงจันทน์ 1 แห่ง แขวงจำปาสัก 2 แห่ง และแขวงสะหวันนะเขต 2 แห่ง แบ่งออกเป็นโรงงานที่ผลิตเครื่องนุ่งห่มเพื่อส่งออก
เป็นหลักจำนวน 50 แห่ง และโรงงานที่ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ 27 แห่ง สร้างงานได้ 25,000 ตำแหน่ง สินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่
ได้แก่ เครื่องแบบ เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อโปโล เสื้อทำงานแจ๊คเก็ต ยีนส์ ชุดชั้นใน ชุดเครื่องนอน ถุงเท้า รองเท้าและอื่น ๆ
ตลาดส่งออกที่สำคัญของ สปป. ลาว ได้แก่ ยุโรปร้อยละ 80 ญี่ปุ่น ร้อยละ 9 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 4 และแคนาดา ร้อยละ 2

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้ประกอบการบางส่วนหยุดการผลิต และบางส่วนลดกำลังการผลิตชั่วคราวเพื่อปฏิบัติตาม
มาตรการป้องการการแพร่ระบาดของรัฐบาล สปป. ลาว อีกทั้งอุตสาหกรรมตัดเย็บของ สปป.ลาว ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
กับอุตสาหกรรมตัดเย็บทั่วโลก กล่าวคือ หลายบริษัทประสบปัญหาถูกยกเลิกคำสั่งซื้อจากบริษัทที่เป็นเจ้าของเครื่องหมาย
สินค้าต่าง ๆ การชะลอการผลิตวัสดุ อุปกรณ์ด้านการตัดเย็บจากผู้ผลิตในต่างประเทศอันเนื่องมาจากการ lockdown
ในหลายเมือง และปัญหาความล่าช้าในการจัดส่งและมอบสินค้า

ในปี 2563 การส่งออกเครื่องนุ่งห่มของ สปป. ลาวมีมูลค่า 188 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 11.32 เมื่อเทียบกับปี 2562
ส่วนในปี 2564 มูลค่าการส่งออกเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นเป็น 189 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วงเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 การส่งออก
เครื่องนุ่งห่มมีมูลค่า 99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนโยบายผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 โรงงานตัดเย็บหลายแห่ง
เริ่มเปิดดำเนินการผลิตตามปกติ และอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากผลกระทบ สำหรับการนำเข้าสินค้าเครื่องนุ่งห่ม ช่วงเดือน
ม.ค. - มิ.ย. 2565 สปป. ลาวนำเข้าเครื่องนุ่งห่มประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเข้าจากจีนมากที่สุดมูลค่า 8.04 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือเวียดนาม 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทย 2.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การพัฒนาอุตสาหกรรมตัดเย็บใน สปป. ลาว เผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน อาทิ จำนวนแรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม
การผลิตของ สปป. ลาวมีน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้สัดส่วนแรงงานในภาคการผลิต
เครื่องนุ่งห่มขาดแคลน แม้ว่า สปป. ลาวจะมีข้อได้เปรียบด้านอัตราค่าจ้างแรงานที่มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
แต่ศักยภาพในการผลิตยังมีน้อย แรงงานเลือกจะทำงานในอุตสาหกรรมอื่นที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า รวมถึงแรงงานลาวส่วนหนึ่ง
ย้ายไปทำงานต่างประเทศ สำหรับนักลงทุน ผู้ประกอบการระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กยังประสบปัญหาในการเข้าถึง
แหล่งเงินทุน และปัญหาเงินกีบอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์และบาท ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบนำเข้าสำหรับการผลิต
เครื่องนุ่งห่มสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต

เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมตัดเย็บใน สปป.ลาว สมาคมอุตสาหกรรมตัดเย็บ สปป. ลาวผลักดันนโยบาย
ส่งเสริมให้โรงงานตัดเย็บทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่สามารถดำเนินการได้มากขึ้น โดยส่งเสริมให้หนึ่งกลุ่มบ้าน มีหนึ่ง
ร้านตัดเย็บเพื่อสร้างรายรับให้ผู้ประกอบรายย่อย และทำให้ประชาชนได้ใช้สินค้าที่ผลิตภายในชุมชน ประชาสัมพันธ์เชิญชวน
ให้สนับสนุนและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ลาวที่ผลิตภายในประเทศเพื่อลดการรั่วไหลของเงินตราต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้
รัฐบาล สปป.ลาว ยังได้ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการในวิสาหกิจขนาดกลางและเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้
จากสถาบันการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง
https://eriit.moic.gov.la/researcheriitlao/
https://www.moic.gov.la/?page_id=6994
https://laoedaily.com.la/2022/10/03/117658/ file:///I:/downloads/Yearbook2021_Final%2022.04.2022%20(1).pdf

กาแฟลาว สินค้าการเกษตรยอดนิยมในการส่งออกของ สปป. ลาว

กาแฟ นับเป็นสินค้าส่งออกที่สามารถสร้างรายได้
เข้า สปป.ลาวจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี สมาคมกาแฟลาว (Lao Coffee Association: LCA) ระบุว่า การส่งออกกาแฟ ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 ปริมาณ 14,559 ตัน คิดเป็นมูลค่า
41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่งออกไปยังกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียมูลค่า 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกไปยังตลาดยุโรปมูลค่า 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กาแฟที่ผลิตใน สปป. ลาวส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นและชื้นเหมาะสำหรับ
การปลูกกาแฟ นอกจากนี้ การปลูกกาแฟทางตอนเหนือของ สปป. ลาวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนักวิจัยด้านการเกษตรพบว่า มีภูเขาที่มีความเหมาะสมในการปลูกกาแฟ จึงได้ส่งเสริมการปลูกกาแฟทดแทนการปลูกฝิ่น

การส่งเสริมเลี้ยงโคและกระบือในสปป. ลาวเพื่อส่งออกไปจีน

สปป. ลาวกำหนดให้การผลิตสินค้าเกษตรเป็นแผนงานที่มีความสำคัญลำดับต้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยกำหนดเป้าหมายในการสร้างรายได้
และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนท้องถิ่นให้หลุดพ้น
จากความยากจนและออกจากประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ภายในปี 2567 เพื่อเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2573 โดยรัฐบาล สปป. ลาวส่งเสริมให้เกษตรกรทั่วประเทศเลี้ยงโคและกระบือเพื่อส่งออกไปจีน

ทำความรู้จักบ่อเต็นพื้นที่ด่านหน้าสำคัญของสปป. ลาว

สปป. ลาว เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอาณาเขตชายแดนติดกับ 5 ประเทศ แบ่งการปกครองออกเป็น 17 แขวง 1 นครหลวงเวียงจันทน์ ดำเนินนโยบายเน้นเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กำหนดให้แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใช้ศักยภาพและโอกาสเชิงพื้นที่ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือ และความเชื่อมโยงกับประเทศในและนอกภูมิภาคเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (2564 - 2568)
พื้นที่บ่อเต็นถือเป็นพื้นที่เชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การบริการและอื่น ๆ ของ สปป. ลาว โดยบ่อเต็น
เป็นชื่อเรียกของหมู่บ้านในเขตเมืองหลวงน้ำทา แขวงหลวงน้ำทา ตั้งอยู่ใกล้เขตชายแดนลาว-จีน ตรงข้าม
กับเมืองโม่ฮาน เขตสิบสองปันนาของจีน มีเส้นทาง R3A เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าหลักระหว่างไทย-
สปป. ลาว-จีน ปัจจุบันเส้นทางนี้บางช่วงเริ่มชำรุด และช่วงฤดูฝนการสัญจรไปมายากลำบากเนื่องจากเป็นถนน
2 เลน และคดเคี้ยวตามภูเขา
นอกจากนี้ บ่อเต็นยังเป็นที่ตั้งด่านภาษีสากลบ่อเต็น ซึ่งมีความสำคัญในฐานะด่านที่ตั้งอยู่สถานีแรกของเส้นทางรถไฟลาว-จีน และเป็นจุดสำคัญในการเชื่อมต่อเส้นทางขนส่งสินค้า ภายในด่านมีเครื่องมือที่ทันสมัย อาทิ ระบบแจ้งภาษีอัตโนมัติ และระบบ Smart Tax เครื่องตรวจด้วยระบบแสง ระบบ Easy Pass และอื่น ๆ เพื่อ
อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเพิ่มเติม ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. 2565 มีการขนส่งสินค้าของไทยไปจีนผ่านด่านภาษีสากลบ่อเต็นทางรถบรรทุก จำนวน 21,538 ตู้ คิดเป็นมูลค่า 884.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการขนส่งสินค้าไทยโดยใช้รถไฟลาว-จีน จากสถานีเวียงจันทน์ใต้ไปยังสถานีนาเตย หลังจากนั้น ขนส่งต่อด้วยรถบรรทุกมายังด่านภาษีสากลบ่อเต็นเพื่อส่งออกไปจีน จำนวน 503 ตู้ คิดเป็นมูลค่า 38.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    เมื่อปี  2546 รัฐบาล สปป. ลาวให้สัมปทานพื้นที่บ่อเต็นแก่บริษัท ฟุกฮิง ทราเวล จากฮ่องกงเพื่อก่อตั้ง
เขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนคำ ประกอบด้วย พื้นที่โรงงาน สำนักงาน ร้านค้าปลอดภาษี และอื่นๆ ต่อมาเมื่อปี 2555 เปลี่ยนผู้ถือสัมปทานเป็นกลุ่มบริษัท ไห่เฉิงยูนนาน และเปลี่ยนชื่อเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็นแดนงาม” ประกอบด้วย 4 เขต ได้แก่ เขตการค้าและการเงิน
เขตท่องเที่ยวและพักผ่อน เขตอุตสาหกรรมแปรรูป
การขนส่งและโลจิสติกส์ และเขตการศึกษาและการแพทย์
ในขณะเดียวกัน สปป.ลาว-จีน เห็นถึงโอกาสการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งทางบกในภูมิภาคจีน-อาเซียน
จึงร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงระหว่างบ่อเต็นกับพื้นที่อื่นๆ อาทิ (1) โครงการทางด่วน
นครหลวงเวียงจันทน์-ด่านภาษีสากลบ่อเต็น ระยะทาง 460 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยยกระดับโครงข่ายเส้นทางทางบกไปยังประเทศจีน ลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้าขึ้นไปทางเหนือ ปัจจุบัน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงแรก (นครหลวงเวียงจันทน์ - วังเวียง) เมื่อปี 2563 โดยสร้างเป็นทางคู่ขนานกับถนนหมายเลข 13 เหนือและทางรถไฟลาว - จีน มี 4 ช่องจราจร และอยู่ระหว่างการสำรวจเส้นทางเพื่อก่อสร้างช่วงที่ 4 (อุดมไซ – หลวงน้ำทา) ช่วงที่ 3 (หลวงพระบาง – อุดมไซ) และช่วงที่ 2 (วังเวียง – หลวงพระบาง) ตามลำดับ

ยุทธศาสตร์การดึงดูดการลงทุนของลาว กับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง

สปป. ลาว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ พิเศษ เพื่อก้าวส่งเสริมบทบาทในการเป็นฐานการลงทุนโดยเฉพาะจากนักลงทุนอาเซียน โดยมีเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตเศรษฐกิจเฉพาะจำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง ที่มีการอนุมัติและดำเนินการแล้ว ประกอบด้วย (1) เขตเศรษฐกิจสะหวัน-เซโน (2) เขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนงาม (3) เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ (4) นิคมอุตสาหกรรมและการค้าเวียงจันทน์ (5) เขตเศรษฐกิจพิเศษไชเสดถา (6) เขตเศรษฐกิจเฉพาะท่าแขก (7) เขตเศรษฐกิจพิเศษล่องแทง-เวียงจันทน์ (8) เขตเศรษฐกิจพิเศษดงโพสี (9) เขตเศรษฐกิจเฉพาะบึงธาตุหลวง (10) เขตเศรษฐกิจเฉพาะภูเขียว (11) เขตเศรษฐกิจพิเศษปากเซ-ญี่ปุ่น และ (12) เขตเศรษฐกิจพิเศษหลวงพระบาง

การประเมินความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ กรณีเปรียบเทียบระหว่าง สปป. ลาวและศรีลังกา

วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในศรีลังกาได้ก่อให้เกิดคำถามว่า สภาพเศรษฐกิจและการขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิง
ที่เกิดขึ้นใน สปป. ลาว นั้น จะนำไปสู่สถานการณ์คล้ายคลึงเช่นที่เกิดขึ้นในศรีลังกาหรือไม่ เนื่องจากมีค่าดัชนี
ชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายประการ อาทิ หนี้สาธารณะ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ ที่บ่งชี้
ไปในทิศทางดังกล่าว เป็นต้น

ฝ่ายเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์                 ได้รวบรวมข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายของทั้งสองประเทศ เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ   ในการประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของ สปป. ลาว
โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 7 ประการ ประกอบด้วย    (1) ภาพรวม (2) อัตราเงินเฟ้อ (3) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (4) หนี้สาธารณะ (5) นโยบายด้านการเงิน
และการคลัง (6) แหล่งรายได้ใหม่ของประเทศ และ
(7) ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ที่จะช่วยให้
ผู้อ่านสามารถเห็นภาพและพิจารณาในเบื้องต้นถึงปัจจัยและความแตกต่างของบริบททางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

(1) ภาพรวม สปป. ลาว เป็นประเทศไม่มีทางออกทะเล (Land-locked Country) ตั้งอยู่ในภูมิภาคอาเซียน
มีประชากรประมาณ 7 ล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร GDP ของ สปป. ลาว ในปี 2564
มีมูลค่าประมาณ 18,827 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวเพิ่มจากปี 2563 ร้อยละ 2.5) รายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร รวมเป็นร้อยละ 88 ของ GDP ขณะที่ศรีลังกา เป็นเกาะอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ มีประชากรประมาณ 21.92 ล้านคน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรเช่นเดียวกัน แต่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศพึ่งพาภาคบริการ และการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรไปยังต่างประเทศ โดย GDP ในปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 84,518 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวเพิ่มจากปี 2563 ร้อยละ 1.8)

วิกฤตเศรษฐกิจในศรีลังกามีสาเหตุหลักจากการบริหารจัดการของรัฐบาลด้านการเงิน การปรับลดภาษีอย่างกะทันหัน รวมถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 รายรับส่วนใหญ่ของศรีลังกาพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวและเงินตราต่างประเทศอย่างมาก การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ของประเทศลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับหนี้ต่างประเทศจำนวนมากที่ไม่สามารถชำระได้ตามกำหนด เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลง ค่าเงินอ่อน จึงนำไปสู่การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบกับปัญหาการเมืองและความเคลื่อนไหวของประชาชนภายในประเทศ จนนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจตามที่ปรากฏรายงานข่าว ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างศรีลังกากับ สปป. ลาว คือ สปป. ลาว มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงและสถานการณ์ภายในประเทศสงบ รัฐบาลดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างทางการเงินในประเทศผ่านการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารพาณิชย์ และร้านแลกเงินนอกระบบ มีการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนจากธนาคารแห่ง สปป. ลาว (จำหน่ายแล้วร้อยละ 80) และกระทรวงการเงิน สปป. ลาว สปป. มีแหล่งรายได้ใหม่และแผนในการดำเนินการชำระหนี้ต่างประเทศ (ข้อมูลจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (NEDA) ระบุว่า สปป. ลาวยังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ต่อไทย) นอกจากนี้ สปป.ลาวยังมีรายได้จากการส่งสินค้าออก สามารถผลิตอาหารเพียงพอกับความต้องการในประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว การจับจ่ายซื้อขายสินค้า ยังดำเนินต่อเนื่อง

พัฒนาการของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ใน สปป. ลาว

สปป. ลาว ถือเป็นประเทศที่มีทรัพยากรแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับที่ราบหุบเขา อันเกิดจากการยกตัวของแผ่นทวีปเก่า และมีภูเขาไฟที่ดับแล้วหลายแห่ง จากการสำรวจได้ค้นพบสายแร่ธาตุและโลหะมีค่าต่าง ๆ เป็นจำนวนมากจึงเป็นโอกาสให้รัฐบาล สปป. ลาวนำทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ ผ่านการให้สัมปทานกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนและเจรจาจากรัฐบาล
ปัจจุบันบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้สำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านเศรษฐกิจและเทคนิคการขุดค้นและแปรรูปแร่ธาตุ ทั้งหมด 230 บริษัท โดยแบ่งออกเป็น อยู่ในความดูแลของภาคธรณีศาสตร์แร่ธาตุ 105 บริษัท 124 กิจการ และอยู่ในการดูแลของภาคเหมืองแร่ 125 บริษัท 205 กิจการ ประกอบด้วยบริษัทที่กำลังดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านเศรษฐกิจและเทคนิค 42 บริษัท 60 กิจการ และบริษัทที่รัฐบาลอนุมัติโครงการสัมปทานขุดค้นทั่วไป 83 บริษัท

มันสำปะหลังและยางพารา พืชเศรษฐกิจใหม่ของ สปป. ลาว

สปป. ลาวเป็นประเทศที่ภาคเกษตรกรรมเป็นแหล่งรายได้หลักของประชาชน โดยในปี 2564 รายได้จาก                 ภาคการเกษตรคิดเป็นร้อยละ 16 ของ GDP  โดยรัฐบาล สปป. ลาวได้กำหนดให้แผนการส่งเสริมภาคการเกษตร             เลี้ยงสัตว์ และปลูกพืชเชิงพาณิชย์เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (2564 - 2568) เพื่อให้สามารถส่งออกสินค้าเกษตรได้อย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยพืชส่งออกหลักของ สปป. ลาว ได้แก่ มันสำปะหลัง ยางพารา กล้วย กาแฟ (ยังไม่แปรรูป) ข้าวโพด และข้าว นอกจากนี้ การส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อทดแทนการนำเข้ายังเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของวาระแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา
ด้านเศรษฐกิจและการคลังอีกด้วย

พลังงานสะอาด กับโอกาสการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจแบบยั่งยืนของ สปป. ลาว

ท่ามกลางวิกฤติการณ์ขาดแคลนพลังงานในหลายพื้นที่ของอาเซียน ทั้งในเมียนมา กัมพูชา และ สปป. ลาว เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นทั่วโลก สปป. ลาว จึงได้ตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในการคมนาคม และขนส่ง เช่น การนำใช้รถไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ให้มากขึ้นเพื่อ
ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งยังเป็นการผลักดันการนำใช้ทรัพยากรที่มีภายในประเทศให้เกิดประโยชน์ และมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อ
สปป. ลาว  เป็นประเทศที่มีจุดเด่นด้านลักษณะภูมิศาสตร์และมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านทั้งประเทศ
มีความเหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการก่อสร้างโครงการเกี่ยวกับการให้กำเนิดพลังงาน โดยเฉพาะการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ โดยการศึกษาพื้นที่ทั่วประเทศ พบว่ามีพื้นที่ที่สามารถสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กได้มากกว่า 140 แห่ง
ปัจจุบัน สปป. ลาว มีแหล่งผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าแล้ว 90 แห่ง โดยแบ่งออกเป็น ไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1 เมกะวัตต์ขึ้นไป จำนวน 77 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81 ของพลังงานที่ผลิตทั้งหมด ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 8 แห่ง ไฟฟ้าพลังงานชีวมวลจำนวน 4 แห่ง และไฟฟ้าพลังงานความร้อนถ่านหินจำนวน 1 แห่ง รวมกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดกว่า 10,956 เมกะวัตต์ โดยร้อยละ 72 ที่พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่งออกจำหน่ายไปต่างประเทศ อาทิ ไทย เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ และเมียนมา
ที่ผ่านมา สปป.ลาว ให้ความสำคัญกับการร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะไทย
ซึ่งได้ลงนาม MOU ขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานจาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยในการขยายการผลิต และตอบสนองนโยบายด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทย ที่ต้องการพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
สิงคโปร์ได้ลงนามขอซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก สปป.ลาว โดยจะจัดส่งกระแสไฟฟ้าผ่านระบบสายส่งข้ามประเทศ เบื้องต้นรัฐบาล สปป. ลาวจะส่งไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ไปยังสิงคโปร์ เนื่องจากเมื่อปี 2557 สปป. ลาว ไทย มาเลเซียและสิงคโปร์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “โครงการร่วมส่งพลังงาน สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์” หรือ Lao PDR, Thailand, Malaysia and Singapore Power Integration Project: LTMS-PIP ขึ้น โดยอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC และโครงการส่งกระแสไฟฟ้าแห่งอาเซียน หรือ ASEAN Power Grid ที่มีเป้าหมายเพื่อกระจายแหล่งพลังงานไฟฟ้าให้ทั่วถึงภายในอาเซียน โดย สปป.ลาว สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำได้จำนวนมากและประสงค์จะจำหน่ายไฟฟ้าเหล่านี้ให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยประกาศตัวเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชียและความร่วมมือของ 4 ประเทศนี้จะทำให้อาเซียนตอนบนมีโครงข่ายไฟฟ้าที่เข้มแข็ง
เมื่อเดือน ก.ย. 2559  สปป. ลาว ไทย และมาเลเซีย ได้ลงนามจำหน่ายไฟฟ้าร่วมกัน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos: EDL) การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย และบริษัท Tanaka Electric National มาเลเซีย นอกจากนี้ สปป. ลาวยังร่วมมือกับจีน ในรูปแบบการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าแบบระบบสู่ระบบ (Grid to Grid) โดยบริษัท China Southern Power Grid หรือ CSG และ EDL ลงนามข้อตกลงการค้าไฟฟ้า 115 กิโลโวลต์เมื่อเดือน มี.ค. 2565 เพื่อใช้ไฟฟ้าพลังงานน้ำส่วนเกินใน สปป. ลาวช่วงฤดูฝน  

โอกาสและความท้าทายในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใน สปป. ลาว

ปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้าสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกทั้งในด้านราคา เทคโนโลยีแบตเตอรี่ หลายประเทศเริ่มเปลี่ยน
<br />
มาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาระบบสถานีชาร์จไฟฟ้าตามสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดมลพิษทางอากาศจาก
<br />
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และลดกระทบจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
<br />

<div>ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐหลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ ยกเว้นภาษีจดทะเบียน
  <br />
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนลดภาษีรถยนต์รายปี ให้ชาร์จไฟในจุดชาร์จสาธารณะ ให้เงินอุดหนุน ฟรีค่าผ่านทางและอื่น ๆ</div>

<div>
  <br />
สปป. ลาว รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนผู้นำเข้า ผู้ผลิต ผู้ใช้งาน รวมทั้งภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับ ยานยนต์ไฟฟ้า
  <br />
โดยมีมติเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2564 ว่าด้วยนโยบายและแนวทางการดำเนินปฏิบัติในการเปลี่ยนไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
  <br />
เพื่อให้สอดคล้องกับวาระแห่งชาติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการคลัง โดยเฉพาะมาตรการประหยัด ลดการนำเข้า
  <br />
น้ำมันเชื้อเพลิง ลดการรั่วไหลของเงินตราต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า ที่สปป. ลาวมีศักยภาพ
  <br />
ในการผลิตไฟฟ้า มีค่าไฟฟ้าถูกกว่าพื้นที่อื่น ๆ มีแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานทดแทนหลายแห่ง ซึ่งการส่งเสริม
  <br />
ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจะช่วยให้รัฐบาลมีแหล่งรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
  <br />

  <br />
สปป. ลาว เปิดรับนักลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในกิจการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้า หรือร่วมพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
  <br />
อาทิ ศูนย์ซ่อมบำรุง ศูนย์ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และประกอบเพื่อใช้ภายใน หรือส่งออก ผู้เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ และสถานี
  <br />
ชาร์จไฟฟ้าตามจุดแวะพักรถ เป็นต้น โดยมีนโยบายพิเศษในการนำเข้าและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ภาษีนำเข้ายานยนต์
  <br />
ไฟฟ้าร้อยละ 0 ภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 และไม่จำกัดโควตานำเข้าเพื่อให้สามารถแข่งขัน
  <br />
ด้านราคาอีกด้วย
  <br />

  <br />
ภาครัฐเป็นต้นแบบของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใน สปป. ลาว โดยเริ่มจากรถประจำตำแหน่งของรัฐ จากนั้น จะผลักดันให้รัฐวิสาหกิจ
  <br />
ขนส่งสาธารณะ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าจำนวนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย
  <br />
ร้อยละ 1 หรือประมาณ 20,000 คัน ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ 8,000 คัน รถโดยสารประจำทางและรถบรรทุกขนาดเล็ก 150 คัน
  <br />
และรถยนต์ส่วนบุคคล 11,850 คันและกำหนดแผนพัฒนาสถานีชาร์จให้ได้อย่างน้อย 50 สถานี โดยจะเปลี่ยนจากสถานีบริการ
  <br />
น้ำมันมาเป็นสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าตามเส้นทางหลวงและตัวเมืองใหญ่ภายในปี 2568 และเพิ่มจำนวนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
  <br />
ให้ได้ร้อยละ 30 และติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า 100 สถานีภายในปี 2573
  <br />

  <br />
ปัจจุบัน สปป. ลาว มีบริษัทตัวแทนจำหน่ายและนำเข้า ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายจำนวน 10 แห่ง และบริษัทที่ได้รับอนุญาต
  <br />
ดำเนินธุรกิจสถานีชาร์จไฟฟ้าจำนวน 10 แห่ง สถานีชาร์จไฟฟ้า 16 จุด โดย 1 จุดเป็นระบบชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว นอกจากนี้
  <br />
สปป. ลาวอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดแผนพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้า โดยกำหนดระยะทางทุก ๆ
  <br />
100 กิโลเมตร ให้มีสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว 5 ตู้ โดยเฉพาะตามเส้นทางหลวงแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ – อัดตะปือ
  <br />
และนครหลวงเวียงจันทน์ - หลวงพระบาง จากข้อมูลกรมนำเข้าและส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป. ลาว
  <br />
ระบุว่า มีการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าจากการช่วยเหลือขององค์การระหว่างประเทศ ภาคเอกชนนำเข้าเพื่อใช้ในโครงการ
  <br />
และนำเข้าเพื่อจำหน่ายใน สปป. ลาวแล้วประมาณ 300 คัน (ไม่รวมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า) และตามข้อมูลแผนกโยธาธิการ</div>

<div>และขนส่ง นครหลวงเวียงจันทน์ มีรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน 166 คัน
  <br />

  <br />
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใน สปป. ลาวยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อาทิ (1) การประสานงาน
  <br />
และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีความยุ่งยาก และใช้เวลานาน (2) สถานีชาร์จไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม
  <br />
ทุกพื้นที่ ใช้งบประมาณสูง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ใช้เวลาชาร์จนาน ขึ้นกับลักษณะ เทคนิคและเทคโนโลยีของรถแต่ละรุ่น
  <br />
(3) หากพัฒนาระบบสถานีชาร์จไฟมีความจุแรงดันไฟฟ้าสูงเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อตัวรถ (4) หากไฟฟ้าบ้านไม่มีความเสถียร
  <br />
หรือไม่เพียงพอก็อาจส่งผลกระทบต่อแบตเตอรี่ได้ และ (5) ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนและออกทะเบียนเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า
  <br />

  <br />
<u>ข้อมูลอ้างอิง </u>
  <br />
https://www.peerpower.co.th/blog/investor/ev-and-investment/
  <br />
https://www.mem.gov.la/?page_id=195
  <br />
https://www.laophattananews.com/archives/118296 </div>


Pages: Prev. 1 ... 3 4 5 6 7 ... 77 Next

หน่วยงานภาคเอกชน

Coming soon