เกาะติดข่าว

อัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. 2564

ศูนย์สถิติแห่งชาติ กระทรวงแผนการและการลงทุน สปป. ลาว รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. 2564 อยู่ที่ร้อยละ 4.72
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2563 เป็นต้นมา ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อ
ในเดือน ต.ค. 2564 เพิ่มสูงขึ้นมาจากราคาทองคำและน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นร้อยละ 35.49
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและราคาสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศ

ในขณะเดียวกันเงินกีบยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลบาทและดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยน มีความผันผวนสูง
รวมทั้งความต้องการเงินตราต่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าและชำระหนี้ที่รัฐบาลค้างชำระให้กับต่างประเทศ
ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ธุรกิจส่วนใหญ่ตั้งราคาสินค้าและบริการเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเพื่อป้องกันการสูญเสียผลกำไร
และพึ่งพาการซื้อเงินตราต่างประเทศจากร้านรับแลกเปลี่ยนเงินเพื่อนำมาชำระ การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงเป็น
สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น บวกกับ สปป. ลาวยังคงเป็นประเทศผู้นำเข้ามากกว่าส่งออก

ในเดือน ต.ค. 2564 ค่าบริการในหมวดการสื่อสารและการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.93 และ 10.24 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ
เดือน ก.ย. 2564 และช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคายานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สูงขึ้น โดย
ราคารถยนต์และอุปกรณ์ขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.86 และ 5.19 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2564 และช่วงเวลา
เดียวกันของปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.95 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีที่ผ่านมา
ราคาชีสและไข่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.07 น้ำมันปรุงอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.38 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ หมวดที่อยู่อาศัย น้ำ ไฟฟ้า และแก๊สเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.31 และ 4.43 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2564 และช่วงเวลา
เดียวกันของปีที่ผ่านมาตามลำดับ ค่าเสื้อผ้าและรองเท้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.71 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2564 และร้อยละ 
4.58 เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เครื่องใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และ 4.63 และหมวดการรักษา
พยาบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.87 และ 6.17 เนื่องจากค่ายาและบริการโรงพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น

ที่มา: นสพ. Vientiane Times วันที่ 25 พ.ย. 2564

12/03/2021



กลับหน้าหลัก